ทุกวันนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นยุค “Mobile First” ที่สมาร์ทโฟนแทบกลายมาเป็นทุกอย่างของชีวิต และทำให้ Mobile Marketing เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการขับเคลื่อนธุรกิจขององค์กรต่างๆ เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และใช้ต้นทุนค่อนข้างต่ำ
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า แบรนด์จะประสบความสำเร็จบนสนามการตลาดแห่งนี้ได้เหมือนกันทั้งหมด เพราะปัจจุบันมีเทคนิคและวิธีการมากมายให้แบรนด์เลือกใช้ ขณะที่แบรนด์จำนวนไม่น้อยก็ใช้เทคนิคที่ “พลิกแพลง” มากเกินไป จนลืมพื้นฐานของการตลาดด้านนี้ ทำให้ยังไปไม่ถึงความสำเร็จตามอย่างที่ตั้งความหวังเอาไว้
โดยต่อไปนี้ คือ 7 เทคนิคง่าย ๆ ใกล้ตัวที่เราอาจเคยมองข้าม แต่สามารถนำมาผสมผสานเพื่อสร้างความสำเร็จใน Mobile Marketing ได้อย่างไม่ยากเย็น
การไม่มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ย่อมทำให้การดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจทำได้ยาก ไม่ต่างจากการเดินไปอย่างไร้ยุทธศาสตร์ และไร้ทิศทาง
ดังนั้นสิ่งสำคัญลำดับแรกที่จะต้องคำนึงถึงสำหรับการวางกลยุทธ์ใน Mobile Marketing คือ ต้องมั่นใจว่าในทุกกลยุทธ์ ทุกแคมเปญ และไม่ว่าจะเป็นงานเล็ก หรืองานใหญ่ จะต้องมีการกำหนดวัตถุประสงค์ออกมาให้ชัดว่าต้องการทำไปเพื่ออะไร ..จะเพื่อการตลาด ขยายฐานลูกค้า หรือเป้าหมายใด ก็ต้องกำหนดเอาไว้ให้ “ชัดเจน”
เพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยกำหนดยุทธศาสตร์ รวมทั้งช่วยควบคุมกระบวนการทำงานในแต่ละจังหวะก้าวให้เป็นไปแบบมีทิศทาง และยังเป็นตัวชี้วัดผลแคมเปญของเราในตอนท้ายสุดว่า สิ่งที่เราลงมือทำไปนั้นประสบผลสำเร็จจริงหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด
ถ้าจะให้พูดแบบกวน ๆ ในประเด็นนี้ก็ต้องบอกว่า ก็ในเมื่อเรากำลังจะทำการตลาดผ่านอุปกรณ์ Mobile ดังนั้นสิ่งที่เราต้องคิดถึงให้มากและต้องถือเป็นหัวใจห้องหลักในการทำการตลาดวิธีนี้ คือ ทุกสิ่งที่ออกมาต้อง Mobile-Friendly หรือมีความเป็นมิตรกับการใช้งานผ่านแพลตฟอร์มสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์ Mobileอื่น ๆ ให้มากที่สุด
เช่น การออกแบบเว็บ โฆษณา หรือ Content ที่ต้องคำนึงถึงการแสดงผลบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ, การเลือกช่องทางสื่อสารอื่น ๆ อย่าง SMS อีเมล และแอปพลิเคชันในกลุ่ม Messenger ที่สามารถเปิดดูได้จากสมาร์ทโฟน, หรือแม้แต่การวางระบบและการใช้งานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การจ่ายเงินผ่าน Mobile Wallet เป็นต้น
พฤติกรรมอย่างหนึ่งในการใช้โทรศัพท์มือถือของคนแทบทุกคน คือ การใช้บริการ Social Mediaต่าง ๆ ซึ่งเรื่องนี้ยืนยันได้จากผลสำรวจ “Global Digital 2019” โดย We Are Social และ Hootsuite ซึ่งพบว่าทั่วโลกมีจำนวนผู้ใช้ Social Network ถึง 3,484 ล้านคน โดย 3,256 ล้านคนที่ใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือ
สิ่งนี้จึงทำให้ Social Media มีสถานะไม่ต่างไปจากขุมทรัพย์ที่เราสามารถเข้าไปหาประโยชน์ได้โดยไม่จำเป็นต้องไปซื้อ Ad เพียงอย่างเดียว
ตัวอย่างเช่น การสร้างสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมกับลูกค้า โดยไม่สักแต่ว่าเป็นฝ่ายส่งข้อความไปหาพวกเขาอย่างเดียว แต่ใช้อาจวิธีการเชิงรุกอื่น ๆ อย่างการตอบข้อความ การคลิกไลค์ หรือการช่วยเหลือเมื่อมีการสอบถามหรือร้องขอข้อมูลหรือการประสานงานเกี่ยวกับแบรนด์
นอกจากนี้การเล่นเกม การแจกรางวัล การทำแบบสำรวจ โพล หรือกิจกรรมต่าง ๆ ก็เป็นวิธีที่สามารถช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับแบรนด์ และขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
การกำหนด Target Audiences หรือกลุ่มเป้าหมายสำหรับแบรนด์ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เราทราบว่า เราจะต้องสื่อสารหรือส่งแคมเปญการตลาดไปหาคนกลุ่มไหนที่มีลำดับความสำคัญมากที่สุด
Target Audiences สามารถทำได้โดยเริ่มต้นจากการสร้าง Buyer Persona หรือ Customer Persona ว่า เราต้องการให้ลูกค้าที่มีลักษณะแบบไหนให้มาซื้อสินค้าและบริการ เช่น เพศ อายุ อุปนิสัย ความสนใจ การทำงาน ชีวิตประจำวัน และถิ่นที่อยู่ เป็นต้น
การที่เราทราบว่าใครคือลูกค้ากลุ่มเป้าหมายหลัก ใครคือกลุ่มเป้าหมายรอง นอกจากจะช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์ วางแผน และกำหนดเทคนิคในการส่งแคมเปญที่เหมาะสมได้ต่อไป
การค้นหาเป้าหมายที่เราควรต้อง Retargeting หรือ Remarketing เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นสำหรับ Mobile Marketing เพื่อกระตุ้นให้คนที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้า เช่น กลุ่มที่เคยเข้ามาเยี่ยมเว็บไซต์ คนที่เคยใช้แอปพลิเคชัน เคยคลิกอ่านโฆษณา หรือเคยมีส่วนร่วมกับหน้าเพจในโซเชียลมีเดีย ให้เกิดการตัดสินใจซื้อ
… ยิ่งเราค้นหาคนกลุ่มนี้พบมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เรามีโอกาส Retargeting เพื่อเปลี่ยนให้พวกเขาหันมาสนใจสินค้าของเราได้มากยิ่งขึ้น …
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่เราสามารถกำหนดเป้าหมายอีกกรณี คือ การเจาะลึกข้อมูลกลุ่มลูกค้าของคู่แข่งเพื่อค้นหาตัวพวกเขาเหล่านั้นให้พบ แล้วทำการกำหนดเป้าหมายโฆษณาเพื่อส่งแคมเปญพุ่งตรงไปหาพวกเขา พร้อมยื่นข้อเสนอเพื่อจูงใจให้เขามาเป็นลูกค้าของเรา
การ Retargeting ควรเป็นไปในหลายรูปแบบ เนื่องจากต้องกำหนดเป้าหมายกับบุคคลที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละคนก็มีเหตุผลที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อที่ต่างกัน แต่ขณะเดียวกันก็อาจต้องระมัดระวังเรื่อง “ความถี่” ในการส่งโฆษณาเพื่อ Retarget ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ให้มาก หรือน้อยเกินไป ไม่เช่นนั้น แทนที่จะช่วยให้ได้ลูกค้าเพิ่ม อาจกลับกลายเป็นการทำให้ต้องสูญเสียลูกค้าเหล่านั้นไปอย่างถาวรก็เป็นไป
แต่หากเราทำได้อย่างเหมาะสม ก็จะสามารถเปลี่ยนบุคคลเหล่านี้ให้มาซื้อสินค้าของเราได้อย่างน่าสนใจ และสามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน
การปรับแต่งกลยุทธ์หรือแคมเปญให้มีลักษณะเป็นส่วนบุคคล หรือ Personalisation จะช่วยดึงดูดสายตาลูกค้าให้หันมามองที่แบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่งเนื้อหาในแคมเปญ อีเมลการตลาด การส่งเสริมการขายด้วย Influencerหรือผ่านช่องทางอื่นใด หากเราสามารถปรับให้มีเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคลได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งช่วยผลักดันความสามารถในการแข่งขันของเราได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น และยิ่งช่วยสร้างโอกาสทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีสำหรับได้มากขึ้นเช่นกัน
เทคนิคทั้ง 7 ข้อ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิธีการที่แบรนด์สามารถนำมาใช้เพิ่มศักยภาพการแข่งขันใน Mobile Marketing ของตัวเองได้ แต่ต้องจำไว้เสมอว่า ในโลกนี้ไม่มีวิธีการไหนเป็นวิธีการที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้อย่างสมบูรณ์เพียงวิธีการเดียว หากแต่ต้องนำเทคนิคเหล่านี้มาผสมผสานให้เข้ากับบริบทต่าง ๆ ของแบรนด์อย่างรอบด้าน
… นี่ต่างหากจึงจะสามารถช่วยให้เราเข้าใกล้ความสมบูรณ์ตามเป้าหมายที่ต้องการ …